นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นประสบปัญหาฟองสบู่แตก ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง นโยบายนี้ถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยการลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป้าหมายหลักคือการกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
The low interest rate policy of Japan began in the early 1990s after the Japanese economy experienced a bursting bubble, leading to a severe recession. This policy was implemented to stimulate the economy and increase consumer spending by reducing interest rates to the lowest possible levels. The main goal was to encourage investment and domestic spending, which had implications for both the domestic and international economy.
ในปี 1991 ญี่ปุ่นเริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจาก 6% จนถึง 0.5% ในปี 1995 นอกจากนี้ยังมีการใช้มาตรการทางการเงินอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับทำให้เกิดปัญหาการสะสมหนี้สินและการลงทุนในโครงการที่ไม่คุ้มค่า
รัฐบาลญี่ปุ่นได้นำมาตรการทางการเงินที่หลากหลายมาใช้ เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ในปี 2013 ธนาคารกลางญี่ปุ่นเริ่มใช้มาตรการ QQE เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการใช้จ่าย
นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำส่งผลให้คนที่มีทรัพย์สินมากขึ้นได้ประโยชน์ ในขณะที่คนที่มีรายได้น้อยกลับไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควร
การวิเคราะห์ระยะยาวแสดงให้เห็นว่านโยบายนี้อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน และอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น
ในปัจจุบัน ญี่ปุ่นกำลังมองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนในนโยบายดอกเบี้ย
การศึกษานโยบายนี้ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินที่ดี และการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของญี่ปุ่นส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศอื่น ๆ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินโลก